1.กระจกธรรมดา(Float Glass) 2.กระจกอบความร้อน(Heat Treated Glass) 3.กระจกเครือบผิวหรือกระจกสะท้อนแสง(Surface Coated Glass) 4.กระจกดัดแปลง(Processed Glass) 5.กระจกอื่นๆ |
กระจกธรรมดา(Float Glass) กระจก ธรรมดาเป็นกระจกพื้นฐานที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตโดยตรง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ซึ่งมีรายละเอียด และข้อพิจารณา ในการนำไปใช้งาน ดังนี้ 1.กระจกใส(Clear Glass) กระจกใสคือกระจกโปร่งแสงที่สามารถมองผ่านได้อย่างชัดเจนและให้ภาพสะท้อนที่สมบูรณ์ ไม่บิดเบี้ยว คุณสมบัติ 1)สามารถมองเห็นจากภายนอกเข้ามาภายในได้อย่างชัดเจน 2)มีค่าการตัดแสงประมาณ 8% สำหรับกระจกใสหนา 12 มิลลิเมตร และตัดแสงได้มากขึ้นตามความหนาของกระจก 3)มีค่าการสะท้อนแสงประมาณ 7% 4)ผิวกระจกไม่ร้อน เพราะกระจกดูดกลืนความร้อนได้น้อยมาก ข้อควรพิจณาในการใช้งาน 1)ยอมให้แสงผ่านเข้ามาได้มาก ทำให้ความร้อนเข้ามามากด้วย เมื่อคลื่นสั้น(0.3ไมโครเมตร)ผ่านกระจกใสเข้ามาภายในกระทบ วัตถุหรือวัสดุภายในอาคารจะเปลี่ยนเป็นคลื่นยาว(3.3-50ไมโครเมตร)ซึ่งไม่สามารถผ่านออกไปภายนอกได้อีก ดังนั้นความร้อน จะถูกกักเก็บไว้ ทำให้อากาศข้างในร้อนแล้วไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้ จนเมื่ออุณหภูมิภายในสูงกว่าภายนอกจึงจะ มีการถ่ายเทความร้อนด้วยการนำ(Conduction)ออกสู่ภายนอก 2)สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก ซึ่งเหมาะกับการใช้งานประเภทแสดงสินค้า แต่อาจไม่เหมาะกับส่วนที่ต้องการความ เป็นส่วนตัว เพราะคนภายนอกสามารถมองเห็นเข้ามาภายในได้อย่างชัดเจน 3)กระจกใสมีค่าการสะท้อนแสงน้อยจึงเหมาะสำหรับห้องที่ต้องการมองออกไปภายนอก เพราะสามารถมองเห็นภาพทิวทัศน์ได้ อย่างชัดเจน |
2.กระจกสี(Tinted Glass) ผลิตขึ้นโดยการผสมโลหะออกไซด์เข้าไปในส่วนผสม ในขั้นตอนการผลิตกระจก ทำให้กระจกมีสีสัน คุณสมบัติ 1)ผิวกระจกร้อน เนื่องจากสีของเนื้อกระจกที่เกิดจากการเติมโลหะออกไซด์ต่างๆ เป็นตัวดูดความร้อน ทำให้ความร้อนจากกระจก แผ่เข้ามาภายในอาคาร 2)ตัดแสงไม่ให้เข้ามาภายในอาคารมาก กระจกสีมีค่าสัมประสิทธิ์เปรียบเทียบการบังแดดต่ำกว่ากระจกใสมาก เมื่อค่าสัมประสิทธิ์ การบังแดดต่ำมากๆ แสงเข้าน้อยทำให้ความร้อนเข้ามาได้น้อยด้วย 3)สามารถ สกัดกั้นความร้อนจากแสงอาทิตย์ ที่ตกกระทบกระจกสีได้มากกว่ากระจกใส ปริมาณการดูดกลืนความร้อนขึ้นอยู่กับ ส่วนผสมของเนื้อกระจก ซึ่งสามาถผลิตให้มีการสกัดกั้นรังสีอาทิตย์ได้หลายระดับ แต่ผิวกระจกจะร้อนขึ้นเมื่อมีการสกัดกั้นรังสี มาก 4)ช่วยลดความจ้าของแสงที่ส่งผ่านกระจกสีทำให้ได้แสงที่นุ่มนวลและเกิดความสบายตาในการมอง ข้อควรพิจณาในการใช้งาน 1)ไม่ควรให้ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศเป่ากระทบผิวหน้าของกระจกโดยตรง เพราะจะทำให้กระจกสูญเสียพลังงานมาก 2)ไม่ควรติดผ้าม่านที่มีความหนาทึบ หรือวางตู้เหล็ก หรือสิ่งของอื่นๆ ชิดกับกระจก หรือติดตั้งปิดบังกระจกโดยไม่มีการถ่ายเท ความร้อน เพราะอาจทำให้กระจกสะสมความร้อนเพิ่มขึ้น และเป็นสาเหตุให้กระจกสีแตกร้าวได้ง่าย 3)ไม่ควรทาสีหรือติดแผ่นกระดาษใดๆลงบนผิวกระจก 4)ควรจะต้องมีการตัดหรือฝนขอบกระจกให้เรียบ เพื่อทำให้ขอบกระจกมีความทนทานต่อการแตกร้าวจากแรงดึงและแรงเค้นที่ ผิวและขอบของกระจก |
กระจกอบความร้อน(Heat Treated Glass) กระจกอบความร้อนหรือกระจกสีที่นำไปผ่านกระบวนการปรับแต่งคุณภาพของเนื้อกระจก เพื่อให้มีความเข็งแกร่งมากขึ้น หรือรับ แรงกระทำจากแรงภายนอกได้มากขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดดังนี้ 1)กระจกนิรภัยเทมเปอร์(Tempered Glass) กระจกนิรภัยเทมเปอร์เป็นการนำกระจกไปผ่านกระบวนการเทมเปอริง(Tempering)เพื่อเพิ่มความแข็งแรง โดยใช้หลักการเดียว กับการทำคอนกรีตอัดแรง คือสร้างให้เกิดชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวแก้วเพื่อตต้านแรงจากภายนอก วิธีการนี้ทำได้โดยการให้ความ ร้อนกับกระจกที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดอ่อนตัวของแก้วเล็กน้อยที่ประมาณ 650-700องศาเซลเซียส และทำให้ผิวกระจกเกิดความเย็น ตัวอย่างรวดเร็ว โดยใช้ลมเย็นเป่า ผลของความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างผิวนอกกับส่วนกลางของแผ่นกระจกจะทำให้เกิด ชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวของกระจกทั้ง 2 ด้าน โดยจะประกบชั้นส่วนกลางเหมือนลักษณะแซนวิช และชั้นที่ผิวนี้จะต้านแรงจากภาย นอกทำให้กระจกที่ผ่านกระบวนการเทมเปอริงแล้วมีความแข็งแรงขึ้นประมาน 4 เท่า คุณสมบัติ 1)ค่าความแข็งแรงต่อแรงดึงและแรงที่ทำให้หักงอ(Bending Strenth)เมื่อเปรียบเทียบกระจกธรรมดากับกระจกนิรภัยเทมเปอร์ที่ มีความหนา 5 มิลลิเมตร กระจกธรรมดามีค่าความแข็งแรงต่อแรงดึงและแรงที่ทำให้กระจกหักงอ 500-650กิโลกรัม/ตารางเซนติ ิเมตร ในกระจกนิรภัยเทมเปอร์มีค่าสูงถึง1,500 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร 2)การต้านทานน้ำหนัก(Loading Resistance)คือความต้านทานต่อแรงดันและแรงกระแทกโดยแบ่งออกเป็น -การด้านทานน้ำหนักหรือสถิติ (Static Load Resistance)คือแรงที่มากระทบกระจก กระจกนิภัยเทมเปอร์สามารถทนต่อแรงกระ ทบ ได้มากกว่ากระจกธรรมดาที่มีความหนาเดียวกันประมาณ 3-5 เท่า -การต้านทานน้ำหนักกระแทก(Impact Load Resistance)คือความทนทานของกระจกต่อแรงกระแทกโดยทั่วไปกระจกนิภัยเทม เปอร์สามารถรับแรงกระแทกได้ดีได้ดีกว่ากระจกธรรมดาประมาณ 4 เท่า 3)ความปลอดภัยคือ การลดอันตรายที่จะเกิดจากการโดนกระจกบาด เพราะการแตกของกระจกนิภัย จะแตกออกเป็นเม็ดเล็กๆ และมีความคมน้อย 4)การต้านทานความร้อน(Heat Resistance) คือความทนทานของกระจกต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิแบบทันทีทันใด จากการทดสอบความสามารถในการต้านทานความร้อนของกระจกนิภัยเทมเปอร์เปรียบเทียบกับกระจกธรรมดาที่มีความหนา 5 มิลเมตรเท่ากัน มีผลการทดสสอบดังต่อไปนี้ -กระจกนิภัยเทมเปอร์สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ที่ค่าความแตกต่างของอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 170 องศาเซล เซียส และจะเริ่มแตกทั้งหมดเมื่ออุณหภูมิสูงถึงประมาณ 220 องศาเซลเซืยส -กระจกธรรมดาสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ที่ค่าความแตกต่างของอุณหภูมิเพียงประมาณ 60 องศาเซลเซียส และจะแตกทั้งหมดเมื่อค่าความแตกเมื่อค่าของอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงประมาณ 100 องศาเซลเซียส ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)จุดอ่อนของกระจกนิรภัยเทมเปอร์คือ แรงที่กระทำเป็นจุด หากมีการกระแทกโดยวัตถุที่มีมุมแหลม ซึ่งทำให้เกิดการตัดลึกเข้า ไปภายในผิวกระจก ทำให้ชั้นแรงอัดถูกทำลาย ความสมดุลภายในเนื้อกระจกก็จะถูกทำลาย 2)กระจกนิรภัยเทมเปอร์สามารถคงรูปร่างได้ด้วยความสมดุลของแรงอัดและแรงดึง ดังนั้นเมื่อนำกระจกชนิดนี้มาใช้งานจะต้อง ไม่มีการเจาะรู บากหรือตัดแต่งในภายหลังโดยเด็ดขาด 3)ส่วนของกระจกนิภัยเทมเปอร์ที่มีการเจาะรู พ่นทราย หรือทำเครื่องหมายใดๆจะมีความเปราะบางมากกว่าส่วนอื่นๆ 4)ไม่ควรยึดกระจกกับโลหะโดยตรง ควรมียางหรือวัตถุอื่นมารองรับ 5)ผิวกระจกนิรภัยเทมเปอร์จะเป็นคลื่นมากกว่ากระจกธรรมดา |
กระจกฮีตสเตรงเทน(Heat Strengthen Glass) กระจกฮีตสเตรงเทน เป็นกระจกที่ได้จากกระบวนการผลิตที่คล้ายกับกระจกนิภัยเทมเปอร์ แต่ต่างกันที่กระจกฮีตสเตรงเทนจะ ปล่อยให้กระจกเย็นตัวลงอย่างช้าๆ จึงมีความแข็งแรงกว่ากระจกนิภัยเทมเปอร์ คุณสมบัติ 1)เป็นกระจกกึ่งนิรภัย มีคุณสมบัติพิเศษคือ แข็งแกร่งกว่ากระจกธรรมดาประมาณ 2 เท่า 2)เหมาะสำหรับการป้องกันการแตกของกระจกจากความร้อน 3)ลักษณะการแตกของกระจกชนิดนี้ จะแตกเป็นแผ่นเหมือนกระจกธรรมดา ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)ในการติดตั้งกระจกกับโครงสร้างอาคารสูงสามารถใช้แทนกระจกธรรมดาโดยลดความหนาของกระจกลง 2)ใช้กับสถานที่ที่ต้องเผชิญกับภาวะที่มีความร้อนสูงกว่าปกติ 3)ใช้กับผนังอาคารและหน้าต่างที่มีแรงอัดลมสูง 4)ใช้กับสถานที่ที่ต้องการใช้กระจกที่มีความแข็งแรงและปลอดภัยสูงกว่าการใช้กระจกธรรมดา 5)ใช้กับห้องโชว์ หรือตู้โชว์สินค้าที่ต้องทนต่อแรงกระแทกในการใช้งาน |
ตารางแสดงคุณสมบัติเปรียบเทียบระหว่างกระจกเคลือบผิวที่ใช้กรรมวิธีในการเคลือบโลหะออกไซด์ กระบวนการเคลือบแบบสูญญากาศ กระบวนการเคลือบแบบไพโรลิทิค คุณสมบัติของกระจกเคลือบผิวกับการประหยัดผลังงาน |
กระจกเคลือบผิว แบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์ และกระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ |
กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์(Solar Reflective Glass) กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์เป็นกระจกธรรมดาที่เคลือบด้วยโลหะออกไซด์ มีค่าการสะท้อนแสงค่อนข้างสูง ความโปร่งแสงค่อน ข้างน้อย มีสีสันสวยงามหลายสีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเคลือบ และสีของกระจกที่เป็นวัตถุดิบที่นำมาเคลือบ คุณสมบัติ 1) ทำให้แสงอาทิตย์และรังสีความร้อนผ่านเข้ามาในอาคารได้น้อย 2)ช่วยลดแสงที่แรงจ้าให้นุ่มนวลลง ทำให้เกิดความสบายตา 3)สร้างความเป็นส่วนตัวแก่คนภายในอาคาร เนื่องจากมองทะลุเข้ามาในตัวอาคารได้ลำบาก ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)ในการตัดกระจกควรมีการป้องกันผิวด้านที่เคลือบไว้เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน 2)เมื่อมีการบิ่นหรือแตกบริเวณขอบกระจกให้ลบคมให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการแตกทั้งแผ่น 3)ป้องกันอย่าให้ซีเมนต์หรือปลาสเตอร์ติดบนกระจก เพราะจะทำอันตรายวัสดุเคลือบของกระจก 4)ด้านที่เคลือบวัสดุเคลือบควรอยู่ด้านในของอาคารเสมอ เพื่อไม่ให้วัสดุเคลือบสัมผัสมลภาวะภายนอก 5)อย่าเป่าความเย็นลงบนกระจกวางตู้ใกล้กระจกติดกระดาษหรือทาสีลงบนกระจกเพราะจะทำให้เกืดการแตกหักเนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ 6)ควรจะอบฮีตสเตรงเทนหรือเทมเปอร์ เพื่อป้องกันปัญหาการแตกหักเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ |
กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ เป็นกระจกเคลือบสารโลหะโดยมีโลหะเงินบริสุทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญ คุณสมบัติ 1)ป้องกันการถ่ายเทความร้อนผ่านกระจกได้ดี 2)ยอมให้แสงผ่านได้มากกว่ากระจกสะท้อนแสง 3)ช่วยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลต(UV)ได้บางส่วน ปริมาณการสะท้อนขึ้นอยู่กับผู่ผลิต ทำให้ลดความเสียหาย ซึ่งอาจเกิดกับพรม และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆได้ระดับหนึ่ง 4)ช่วยลดความจ้าของแสง ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)สารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำเป็นสารที่ไวต่อการเสียหาย ดังนั้นจึงไม่ควรหันผิวกระจกด้านที่ฉาบนี้ไว้ด้านนอก 2)การบรรจุกาซเฉื่อยในช่องว่างระหว่างกระจกของกระจกรุ่นใหม่ๆแทนการใช้อากาศแห้ง จะช่วยเพิ่มความเป็นฉนวนให้กับกระ จกได้ดี |
กระจกดัดแปลง(Processed Glass) กระจกดัดแปลงเป็นกระจกที่นำมาดัดแปลงด้วยกระบวนการต่างๆเพื่อตอบสนองการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ 1.กระจกฉนวนกันความร้อน(Insulated Glass) กระจกฉนวนกันความร้อนผลิตโดยการนำกระจกอย่างน้อย 2 แผ่น ตัดให้ได้ขนาดตามต้องการมาประกบกันโดยมีอลูมิเนียมซึ่ง บรรจุสารดูดซึมความชื้นคั่นกลาง หลังจากนั้นจะปิดรอยที่ขอบกระจก ผลก็คือ อากาศภายในช่องระหว่างกระจกจะกลายเป็นอา กาศที่แห้งไม่มีความชื้นเหลืออยู่ ซึ่งมีคุณสมบัติในการกันความร้อน คุณสมบัติ 1)ป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้ามาในอาคาร ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศ 2)ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกอาคารได้ดีกว่ากระจกธรรมดา 3)สามารถปรับแรงดันลมได้เพิ่มขึ้น 4)ให้ความปลอดภัยในอาคารในกรณีที่ใช้กระจกนิภัยเทมเปอร์ หรือกระจกนิรภัยหลายชั้นมาผลิตเป็นกระจกฉนวนกันความร้อน ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)ควรใช้ซิริโคนสำหรับกระจกที่เป็นโดครงสร้างเท่านั้น ส่วนกระจกที่เป็นช่องหน้าต่างแบบดั้งเดิม สามารถใช้โพลีซัลไฟด์ซิลิโคนได้ 2)การหักงอของอลูมิเนียมสเปเซอร์ หรือสารเคมีที่ใช้ในการเชื่อมต่อกระจก มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของกระจกทั้งสิ้น |
2.กระจกฮีตมิเรอร์(Heat Mirror) ลักษณะของกระจกฮีตมิเรอร์เป็นระบบของกระจกสองชั้นที่เคลือบสารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำทั้ง 2 ด้านของฟิล์มที่อยู่ระหว่าาง ช่องอากาศ โดยที่ช่องว่างอากาศทั้งสองข้างจะกลายเป็นช่องว่างอากาศสะท้อนรังสี คุณสมบัติ 1)สามารถสะท้อนความร้อนออกไปจากกระจกได้มากถึงประมาณ 80% หรือยอมให้ความร้อนส่งผ่านเข้ามาเพียง 10% ที่เหลือ อยู่ 10% จะถูกดูดกลืนเข้าไปในกระจก 2)ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้องค์ประกอบของกระจกและฟิล์ม 3)ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต โดยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลตประมาณ 98% ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)ต้องระวังไม่ให้วัสดุยาแนวเกิดความเสียหาย มิฉะนั้นความชื้นอาจแทรกซึมเข้าไปทำให้กระจกเสื่อมประสิทธิภาพได้ 2)ในการติดตั้งระมัดระวังผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต เนื่องจากจะทำให้วัสดุยาแนวเสื่อมสภาพได้ 3)ไม่สามารถปรับแต่งขนาดของกระจกภายหลังประกอบได้ ดังนั้นจะต้องวัดและตัดให้ได้ขนาดตรงกับการนำไปใช้เท่านั้น 4)การติดตั้งควรระมัดระวังไม่หันกระจกผิดด้านเพราะจะทำให้คุณสมบัติของกระจกต่ำลง |
กระจกฮีตสต็อป(Heat Stop) กระจกฮีตสต็อปมีลักษณะเป็นกระจกสองชั้นประกอบขึ้นด้วยกระจกสะท้อนแสงที่เคลือบด้วยสารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำเป็นกระ จกด้านนอก และด้านในใช้กระจกใส สารที่เคลือบนั้น สามารถป้องกันความร้อนอินฟาเรดให้ผ่านเข้ามาได้เพียง 5% ช่องว่างตรง กลางใส่ก๊าซอาร์กอน คุณสมบัติ 1)สามารถสะท้อนความร้อนออกไปจากกระจกได้มาก 2)ยอมให้แสงสว่างผ่านกระจกเข้ามามากถึงประมาณ 60% 3)ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต โดยสะท้อนรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ประมาณ 95 % ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)ต้องระวังไม่ให้วัสดุยาแนวเกิดความเสียหาย มิฉะนั้นความชื้นอาจแทรกซึมเข้าไปทำให้กระจกเสื่อมประสิทธิภาพได้ 2)ไม่สามารถปรับแต่งขนาดของกระจกภายหลังประกอบได้ 3)การติดตั้งไม่ควรหันกระจกผิดด้านเพราะจะทำให้คุณสมบัติของกระจกต่ำลง 4.กระจกนิรภัยหลายชั้นเป็นการนำกระจกตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไป มาผนึกเข้าด้วยกัน โดยมีแผ่นฟิล์มโพลีไวนิลนิวทิเรต ที่เหนียวและ แข็งแรงซ้อนอยู่ระหว่างกลาง ทำหน้าที่ยึดกระจกให้ติดกัน เมื่อกระจกชนิดนี้ถูกกระแทกจนแตก แผ่นฟิล์มโพลีไวนิลบิวทิเรตจะ ช่วยยึดไม่ให้เศษกระจกหลุดกระจาย จะมีเพียงรอยแตกหรือรอยร้าวคล้ายใยแมงมุมเท่านั้น คุณสมบัติ 1)การใช้กระจกนิรภัยหลายชั้น สามารถช่วยลดการบาดเจ็บจากกระจกได้ 2)ป้องกันการทะลุทะลวง เนื่องจากการแตกและการบุกรุกได้ 3)ช่วยลดเสียงรบกวน และลดการก้องของเสียงได้ดี 4)ช่วยในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ 5)แผ่นฟิล์มในกระจกนิรภัยหลายชั้นช่วยในการลดรังสีอัลตราไวโอเลต ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)เนื่องจากฟิล์มโพลีไวนิลบิวทิเลต มีคุณสมบัตในการอมความร้อน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาการแตกร้าว เนื่องจากการ สะสมความร้อน จึงไม่ควรเลือกกระจกต่อไปนี้เข้ามาผนึกเข้าด้วยกัน -กระจกสีตัดแสงผนึกกับกระจกสีตัดแสง -กระจกสีตัดแสงเสริมลวดผนึกกับกระจกแผ่นเรียบ -กระจกสะท้อนแสงผนึกกับกระจกเสริมลวด 2)มีความแข็งแรงต่อแรงอัดของลมน้อยกว่ากระจกธรรมดาที่ความหนาเท่ากัน 3)เมื่อนำกระจกนิภัยเทมเปอร์มาผนึกเข้าด้วยกันควรใช้แผ่นฟิล์มที่ความหนาไม่ต่ำกว่า 0.7 มิลิเมตรเป็นตัวยึดกระจก เพื่อป้อง กันการเกิดฟองอากาศเนื่องจากผิวกระจกไม่เรียบ 4)ไม่ควรใช้วัสดุยาแนวชนิดซิลิคอน ออกไซด์ หรือวัสดุยาแนวที่มี่สวนผสมของสารละลายอืนทรีย์เนื่องจากจะทำให้เกิดผลเสีย ต่อฟิล์ม 5) ควรมีการเคลือสารกันน้ำ บริเวรขอบกระจก เพื่อป้องกันความเสียหายของแผ่นฟิล์ม 6)เมื่ออุณหภูมิของกระจกนิภัยหลายชั้นเพิ่มสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่งคือ 170 องศาฟาเรนไฮต์ การสะสมความร้อนภายในจะสูงขึ้น ความสามารถของฟิล์มในการยึดเกาะกระจกจะลดลง |
กระจกอื่นๆ 1.กระจกเงา(Mirror) กระจกเงาที่ดีควรผลิตจากกระจกใส และมีคุณภาพสูง จึงจะให้ภาพที่แจ่มชัดเหมือนจริงไม่บิดเบี้ยวหลอกตา ผ่านกรรมวิธีเคลือบ เงาด้วยเครื่องจักร 4 ขั้นตอนคือ 1)เครือบวัสดุเงิน(Silvery Coating) 2)เคลือวัสดุทองแดงบริสุทธิ์(Pure Copper Coating) 3)เคลือบวัสดุอย่างดีชั้นแรก(1 st Layer High Quality Colour Coating) 4)เคลือบวัสดุอย่างดีชั้นที่ 2(2 st Layer High Quality Colour Coating) คุณสมบัติ 1)เหมาะสำหรับการตกแต่งภายใน โดยเฉพาะกระจกเงาใสซึ่งจะให้บรรยากาศภายในห้องที่สดใส |
ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายใน ทำให้มีบรรยากาศที่น่าสนใจ 2)หากจัดวางอย่างมีแบบแผน จะสามารถสะท้อนภาพของพื้นที่ได้หลายรูปแบบช่วยเพิ่มพื้นที่สายตาและลดความคับแคบของ ห้องได้ |
2.กระจกลวดลาย(Pattern Glass) กระจกลวดลาย ผลิตโดยกระจกที่ยังไม่แข็งตัวเข้าไปสู่แถวของลูกกลิ้ง เพื่อให้ได้ความหนาที่ต้องการ และพิมลวดลายซึ่งติดกับ ลูกกลิ้งลงบนผิวด้านใดด้านหนึ่งของกระจก หรือทั้ง 2 ด้าน คุณสมบัติ กระจกลวดลายมีคุณสมบัติโปร่งแสงแต่ไม่โปร่งใส จึงทำให้เกิดภาพที่นุ่มนวล แต่อาจไม่ชัดเจนนัก ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)เนื่องจากกระจกลวดลายมีความลึกของเนื้อกระจกไม่สม่ำสมเอกัน จึงไม่เหมาะที่จะนำมาผลิตเป็นกระจกนิภัยเทมเปอร์ 2)ความแข็งแรงและความคงทนของกระจกมีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของกระจกใสที่มีความหนาเดียวกัน เนื่องจากความไม่เรียบของ กระจก |
3.กระจกเสริมลวด(Wired Glass) กระจกเสริมลวดผลิตโดยการใส่แผงตาข่ายลวดลงในกระจกขณะที่กระจกหลอมเหลว เพื่อเป็นการเพิ่มการแข็งแรงให้กับกระจก แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ตามลวดลายของแบบตาข่ายดังนี้ 1)ลายข้าวหลามตัด(Diamond-Shaped Pattern or Misco) 2)ลายสี่เหลี่ยม(Baroque Pattern) 3)ลายหกเหลี่ยม(Hexagonal Pattern) 4)ลายแนวตั้ง(Pinstipe Pattern) คุณสมบัติ 1)มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ จึงมักใช้เป็นกระจกป้องกันการโจรกรรม 2)แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ มีความคม ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)เนื่องจากกระจกเสริมลวดจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่มีความคม เหมาะสำหรับการใช้งานภายในอาคาร หรือในต่ำแหน่งที่อาจ ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัยและคนทั่วไปได้ 2)กระจกเสริมลวดเป็นกระจกที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการโจรกรรม ดังนั้นจึงไม่เน้นการออกแบบเพื่อความสวยงาม |
โดยเอกสตีล คลอง 8 จำหน่ายเหล็ก อลูมิเนียม สแตนเลส มุมหาช่าง หาช่าง หาผู้รับเหมา มุมร้านอร่อย 02-9056526 ถึง 8
หรือแนะนำเว็บก็ได้นะครับ
ขอบคุณมากๆ เลยครับ
หรือตอบมาที่ toum_siam@hotmail.com
หากว่าทราบว่าจะสั่งซื้อได้ที่ไหนรบกวนติดต่อกลับด้วยค่ะ
ที่เบอร์ 085-331-5520 คุณนาค่ะ ขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะค่ะ
อิริรส้
ขอบคุณมากมาย สำหรับความรู้เรื่องกระจก นะค่ะ
หากว่ามีข้อมูลเพิ่มเติม หรือมีกระจกแบบใหม่ออกมา
นำข้อมูลมาเผยแพร่บ้างนะค่ะ
....ขอบคุนคราบ
กำลังจะสร้างศาลาคร่อมบ่อปลาคาร์ฟ 5x5 ถ้าหากจะทำพื้นเป็นกระจก ควรเป็นกระจกประเภทใด หรือ ใช้วัสดุอะไรแทนได้ ไม่ทราบว่าจะแพงจนหัวใจวายหรือเปล่า
ขอบคุณค่ะ
โอ้โหสุดยอดหาผู้ใดเทียบ
เนื้อหาดีมากเลยค้า มีรายการคำนวณ หรือสูตรการคำนวณการรับแรงของงานกระจกอลูมิเนียมมั้ยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
e-mail: wharn_b@hotmail.com
ข้อมูลที่ให้มาดีกว่าหรือเหนือกว่าไอ้บริษัทกระจกโดยตรงแต่หวงวิชาแถวบางนาซะอีกครับ
อยากทราบว่า กระจกเงาธรรมดา มีค่าการสะท้อนแสงเท่าไหร่ครับ
มีความรู้กระจกเยอะมากถือว่าสุดยอดแต่ท่านพอจะแนะนำร้านขายส่งที่ถูกที่สุดได้ไหม ต้องการอบอบเทมเปอร์ กระทุกชนิด ราคา คุณสมบัติกระจกมันก้อใช้งานโดยเฉพาะมันอยุแล้วแต่จะถามว่าทำไมกระเงาไม่สามารถนำมาอบเทมเปอร์ไดหรือป่าวและทำไมกระสีชามีความหนาที่ 6 มม เท่านั้น ลายผ้าไมมีแต่5 ,มม กระจกการ์เดียนกับอาชาฮีคุณสมบัติต่างกันยังไงและทำไมอาชาฮีแพงกว่าการ์เดียนและอยากณุว่าทำไมกระวันเวย์ มีหลายโคดและถ้าลอ็คนี้หมดไปแล้วจะผลิตลอคใหม่ ชึ่งทำไห้สีผิดไปอย่างนี้เวลาลูกค้าขึ้นงานต่อเนื่องก้อหากระลำบากสิคะ
กรุรณาให้ข้อมูลเราด้วยนะคะ
ไม่ณู้จิงๆๆๆๆขอบคุณคะที่กรุณาแนะนำ
bannok-man@hotmail.com